วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

City Of Angels เรื่องเหงาๆของคน(เทพ)ที่เข้าใจมัน

             ยุคแรกๆที่ผมเข้านอกออกในโรงหนังเป็นว่าเล่น ตกสัปดาห์ละ 3 เรื่องอย่างต่ำ มีหนังอยู่เรื่องหนึ่งชื่อไทยสะดุดใจผมมาก "สัมผัสรักจากเทพ เสพซึ้งถึงวิญญาณ"  ชื่อนั้นงดงามดั่งบทกวี จากมือแปลชั้นครูอย่างคุณ จิรนันท์ พิตรปรีชา ชื่อภาษาอังกฤษของหนังเรื่องนี้คือ City Of Angels

               City Of Angels  เล่าถึงเรื่องของยมทูตตนหนึ่ง ซึ่งค่อนข้างจะอินดี้ ที่มักจะตั้งคำถามเรื่องชีวิตกับตัวเองทุกๆครั้งที่จะต้องไปนำทางผู้เสียชีวิตไปสู่ภพภูมิหน้า ชีวิตลูทีนของเขาดำเนินมานานจนน่าเบื่อ จนมาวันหนึ่งเขาได้พบกับแม็กกี้ ศัลยแพทย์สาวที่ชีวิตผูกพันกับความเป็นความตายเสมอ เธอคนที่พยายามยื้อชีวิตกับยมทูตที่รอการนำพาชีวิตสู่สุขติ แน่นอนละเขาหลงรักเธอและเฝ้าคอยที่จะดูชีวิตกับคำถามแห่งการเติบโตและปลายทางของชีวิต ยมทูตหนุ่มจึงเลือกที่จะตก ตกในที่นี้คือการกลับมาเป็นคนเพื่อจะได้สัมผัสความรักแบบมนุษย์

              หนังเรื่องนี้ไม่ได้จบแบบ Happy Ending ดั่งเทพนิยาย แต่จบด้วยการยอมรับ ยอมรับในผลลัพท์ที่เกิดขึ้นที่ไม่ได้เป็นดังฝัน ผมชอบแากจบเรื่องนี้ จบโดยการกลับไปที่จุดเริ่มต้น กลับไปเป็นวัฐจักรของมัน แล้วดำเนินชีวิตกันต่อไปจนจบชีวิต จุดเด่นที่ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นที่น่าจดจำคือ ดาราแม่เหล็กอย่าง เม็ก ไรอัน  เจ้าแม่หนังโรแมนติกขณะนั้น  และสุดยอดนักแสดงรางวัลออกสการ์ นิโคลัส เคต โทนเสียของเขาช่างเรียบเย็น และช่วยขับให้การแสดงของนางเอกโดดเด่นขึ้นมา(ตกลงแกเล่นดีมั้ง5555)

           ระหว่างเขียนผมเปิด Original Soundtrack  ของหนังเรื่องนี้คลอไปด้วย เป็นอัลบัมยอดฮิตที่ผมหยิบมาฟังบ่อยๆ  Track ที่ชอบที่สุดคือ  Red Hot ของ  Jimi Hendrix ที่ฟังทีไรต้องนึกถึงหน้านางเอกตอนที่เปิดเพลงเสริมกำลังใจในการผ่าตัดคนไข้ และที่ไพเราะที่สุดคือ เพลงหลักของหนัง กับการขับร้องของ  Sarah Mclachlaan เพลง Angel แค่ท่อนแรกก็ฟินแล้ว   Spend all your time waiting............



Once ถ้าฉันบรรเลง...เธอจะร้องเป็นเพลงให้ฟังได้ไหม



ช่วงเดือนที่ผ่านมามีเพลงหนึ่ง ที่ดังมากๆเลยได้ยินกันเกือบทุกที่ ทุกผับทุกร้านอาหาร และร้องตามได้ไม่ยากนัก ชื่อของเพลงสื่อความหมายดีๆของหนังที่เข้ามาฉายเป็นกรแสในบ้านของเรา  เพลงนั้นชื่อว่า   Lost Star เพลงจากหนังดัง Begin Again ของผู้กำกับ John Carney ที่ได้ฝากผลงานไว้ในหนังดังเมื่อปี2006  หนังเรื่องนั้น ชื่อว่า  Once

Once เป็นหนังที่พูดถึงนักดนตรีข้างถนนคนหนึ่ง ซึ่งก็มีชีวิตลุ่มๆดอนๆ หาเช้ากินค่ำกับดนตรีที่เขาเชื่อ(บอดี้สแลมนี่หว่า) วันหนึ่งโชคชะตาพามาพบกับหญิงสาวผู้ลี้ภัย ที่เสียงของเธอแสนจะมหัศจรรย์ ทำให้เขามีแรงบันดาลใจที่จะทำเพลงที่สุดแสนจะวิเศษ ออกมาให้ได้ แต่ละเรื่องราวที่ร้อยเรียงมาเป็นหนังคือขั้นตอนที่จะนำความเชื่อของเขาที่ผสานกับแรงบันดาลใจของเธอ มิตรภาพของมิตรสหายที่มารวมตัวกันสร้างงานศิลปะดีๆออกมาเป็นเสียงเพลงที่ไพเราะขับกล่อมในหนังได้อย่างลงดัว

หนังเรื่องนี้พูดถึงการเติมเต็ม ในจุดที่ขาดหายไปให้สมบูรณ์ และแรงผลักดันไปสู่จุดหมายของตัวเอกของเรา หลายครั้งที่หนังมีตัวบทแห่งความขัดแย้ง ให้เราต้องฉุกคิดถึงทางเลือกที่ตัวละครจะเลือกเดิน คำบางคำเราตอบได้ในใจ แต่ไม่อาจจะแสดงออกมาได้ชัดเท่า และสุดท้ายตัวละครต่างๆก็เลือกทางเดินของตัวเองแบบที่เราก็พอจะยอมรับมันได้ และยิ้มให้กับพวกเขา 

สไตล์การเล่าเรื่องของผมวันนี้อาจจะขัดใจที่ต้องการหาสาระอะไรที่เป็นข้อมูล แต่วันนี้ผมเล่าเรื่องแบบใช้สิ่งที่อินกับหนังเรื่องนี้คือท่วงทำนองแห่งดนตรี ตอนที่เขียนนี้ผมกำลังหาทางดูหนังเรื่อง Begin Again
หลังจากโหมกระหน่ำงานมากว่าสองเดือน ผมยังมีหนังที่อยากเล่าอีกมหาศาล เพียงแต่ว่ามันกระจายอยู่ตามร่างกาย วันไหนเจอก็จะดึงออกมาช่วนคุยใหม่นะครับ

http://www.youtube.com/watch?v=I6xIF92OUos

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

บังเอิญ........

           สัปดาห์นี้ฝนตกเกือบทุกวัน เหมือนมาตามนัดทุกวัน เช้ามาฟ้าครึ้มตกปรอยๆ ให้รู้สึกลำบากนิดๆ ตกเที่ยงร้อนตับแตกให้รู้สึดเหนอะหนะ ตกเย็นเรียงหน้ามาถล่มด้วยฝนเม็ดเป้งๆ ทำให้สีสรรในการเดินทางทำงานของหลายๆคนมีความหลากหลายในแต่ละวัน มันไม่ได้เป็นเรื่องบังเอิญนะครับ มันเป็นแบบนี้มาทุกปีอยู่แล้วเราควรจะชินกับมันถูกมั้ยฮะ

           พูดถึงเรื่องความบังเอิญ ผมถูกใจหนังอยู่เรื่อง ดูไปยิ้มไป นั่งไม่ติด หนังเป็นเรื่องของชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งอยู่ในความบังเอิญอย่างตั้งใจ ถ้าย้อนไปปี2001 จะมีหนังรักเรื่องเยี่ยมอยู่เรื่องนึง นั่นคือ Serendipity เริ่มขึ้นจากชายหนุ่ม( John Cusack)  กับหญิงสาว(Kate Beckinsale)  มาซื้อของและเกิดไปหยิบถุงมืองอันเดียวกันที่เหลือเพียงคู่เดียว ต่อมาก็บังเอิญไปเจอกันอีก ตามธรรมดาชายหนุ่มก็อ้อนขอเบอร์สาว จนเธอใจอ่อนยอมจดให้ แต่ลมเจ้ากรรมก็พัดเบอร์นั้นลอยหลุดมือไป


         เรื่องมันคงจะจบถ้าหญิงสาวในเรื่อง จดให้ใหม่ แต่ความคิดที่ชอบล้อเล่นกับชะตากรรม เธอหยิบแบงค์มาใบนึงให้ชายหนุ่มเขียนเบอร์โทรลงไป ถ้าเรามีชะตาต้องกันวันนึงแบงค์นี้จะกลับมาหาเธอ เธอก็จะโทรติดต่อเขาเอง แล้วเธอก็หยิบหนังสือ จดเบอร์โทรของเธอลงไป แล้วบอกกับชายหนุ่มว่า จะเอาหนังสือเล่มนี้ไปขายร้านมือสอง ถ้าเรามีชะตาต้องกัน ชายหนุ่มก็จะเจอเบอร์โทรหญิงสาว แล้วก็มีเรื่องราวสนุกๆตามมามากมายจาก จุดเริ่มต้นเล็กๆนั้น

          ระหว่างเขียนอยู่นี่ผมกำลังจะย้ายออฟฟิตไปที่ สุขุมวิท 26 แล้วเพื่อนสนิทของผมคนนึงเพิ่งเอา พระพิฆเนศ องค์ที่ผมเคยเช่าจากศิลปินท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและพี่ชายที่เคารพ แล้วผมมานึกขึ้นได้ว่า ตอนที่แกกลับมาจากเยอรมัน เราเคยนัดกันไปงาน Exibition ที่แกจัดที่ สุขุมวิท 26 มันเป็นความบังเอิญที่ถูกนำมาเชื่อมโยงกันพอดี





วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557

50 First Dates บางครั้งเธอจำได้หรือเปล่า?


            คุณเคยเป็นแบบนี้มั้ยครับ บงเรื่องที่ตั้งใจจะจำเดินสะดุดอะไรซักอย่างก็ลืม แต่ไอ้เรื่องที่อยากจะลืมดัน...จำได้ตลอด สิ่งนี้มักถุกใช้ในเรื่องของความรัก เรื่องลืมนี่ยังถูกนพมาใช้กับอุปนิสัยของคนไทย คือ คนไทยเป็นคนลืมง่าย เรื่องราวที่เป็นข่าว ไม่กี่วันก็ลืม ถ้าคนเล่าข่าวไม่ได้เงินเอ้ย....ไม่ได้พูด ก็เงียบหาย หรือไม่จริงครับ

            ตอนแรกผมว่าจะเล่าเรื่องของหนังที่เอาเรื่องของความทรงจำมาเล่น อย่างMemento (2000) แต่กลัวจะซีเรียสไป(55555วันหลังดีกว่าขอไปดูอีกรอบ) ผมเลี้ยวไปหาหนังน่ารักๆแบบ  50 First Dates (2004) หนังที่เล่าเรื่องของลูซี่ (Drew Barrymoreหญิงสาวที่มีความทรงจำได้แค่หนึ่งวัน และภาระกิจหลักของพระเอกของเรื่อง เฮนรี่(Adam Sandler)ที่จะให้เธอประทับใจในทุกวัน ลองคิดสิครับถ้าทุกวันของเราใหม่อยู่เสมอ แล้วเราต้องทำให้เธอประทับใจไปในทุกวัน หนังอาจจะพูดถึงการเยียวยา เพื่อให้นางเอกหาย จากความจำสั้น แต่สุดท้ายเราต้องยอมรับแต่ไม่ใช่ยอมแพ้ และปรับตัวไป หนังมาถึงช่วงท้ายเฮนรี่ใช้วิธีอัดวีดีโอไว้เปิดให้ลูซี่ดูทุกวัน อยากลืมนักใช่มั้ย

           ผมว่าการลืมการจำมันไม่สำคัญอะไรเท่ากับเราสิ่งที่เราทำและใส่ใจในรายละเอียด ผมแค่นึกถึงงานที่เคยทำค้างไว้แล้วไม่ได้สานต่อ คราวนั้นอาจจะมีอุปสรรค มาวันนี้เราอาจจะหาวิธีแก้ไขมันได้แล้ว คุณละครับเคยหลงลืออะไรไว้บ้างมั้ยครับ ถ้าจำได้ก้กลับไปทำมันต่อให้เสร็จนะครับ 

วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ไม่ซ้าย ไม่ขวา ถ้า เดินตรงกลางช้าๆ จะไปด้วยกันมั้ย.....

             ผมเคยมีโปรเจ็คทำหนังสั้นทดลองชื่อเรื่อง "รัก......สะพานลอย" เมื่อประมาณ 4 ปีก่อน โดยการเอา Interlude ของหนังเรื่องนี้ไปฉาย ในงาน Fuse เนื้อเรื่อง เกี่ยวกับความรักของคนสองคน ที่มีสะพานลอยเป็นสัญลักษณ์ หากคุณเลือกได้ คุณจะเลือกเดินทางไหน ทางแรกคือวิ่งข้ามถนนไป ต้องคอยระวังรถรา แต่เร็วทันใจ กับเดินขึ้นสะพานลอย ถึงจะช้าแต่ก็ไม่ต้องระแวดระวังภัย เรื่องราวดูรณรงค์ข้ามสะพานลอยดีมั้ยครับ

           ผมนึกถึงหนังเรื่องหนึ่งขึ้นมาตอนเขียนบทหนังสั้นเรื่องนั้น ที่มีนางเอกที่ผมชื่นชอบมาคนนึงคือ Gwyneth Paltrow ขวัญใจของใครหลายๆคน หนังเป็นเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่ง ที่มีทางเลือกที่จะต้องดำเนินทั้งชีวิต หน้าที่และความรักสองทางเสมอ แต่จะถูกหรือจะผิดนั้น สุดท้ายหนังก็บอกว่าเราก็ต้องกลับมาที่จุดๆเดิมอยู่ดี   หนังเรื่องนั้นชื่อ Sliding Doors ฉายในปี1998 ในปรัชญาของหนังเรื่องนี้ที่สื่อก็คือ คนเรามักไม่พอใจและสร้างทางเลือกให้ตัวเองอยู่เสมอ แต่สิ่งที่เราต้องเรียนรู้คือเมื่อตัดสินใจแล้ว เราต้องยอมรับมันให้ได้

          กลับมาที่ "รัก...สะพานลอย" ผมถามคำถามหลังจากให้ดู Interlude ของหนังสั้นนี้ ว่าเป็นคุณ จะเลือกที่จะจูงมือคนที่คุณรักเดินข้ามผ่านทางไหน ถ้าข้ามถนนไปตรงๆ แน่นอนจุดมุ่งหมายของคุณจะถึงเร็ว แต่ก็ต้องคอยระแวดระวังรถรา ปัณหามีมามากมาย กับเราเลือกช้าๆขึ้นสะพานลอย ก็ไปถึงจุดหมายเหมือนกันและยังมีเวลา ศึกษาดูความคิด คุยกัน มองให้โลกนี้ช้าลง ไม่ต้องไปเร่งชีวิตตามสังคมที่มันเคลือนที่รวดเร็วไป ใครจะเลือกทางไหนผมให้ตัดสินใจกันเอง คุณละครับ ชอบแบบไหน

วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2557

I.Q. สูตรรักนักเรียน


       ขึ้นเรื่องวันนี้ ได้บ่งบอกอายุทีเดียว  "สูตรรักนักเรียน"ทำให้นึกถึงเพลงของ วงพลอย ที่ร้อง "เส้นตรงเส้นหนึ่งตั้งอยู่บนเส้นตรงอีกเส้นหนึ่ง...."  แต่ที่จะเล่าวันนี้จะเป็นหนังเรื่องหนึ่ง เมื่อประมาณยี่สิบกว่าปีก่อน หนังน่ารักๆที่เอาสูตรทางวิทยาศาสตร์มาดัดแปลงใช้กับการสร้างสัมพันธ์กับหญิงสาวที่ตนชอบ  หนังเรื่องนั้นชื่อ I.Q.

        I.Q.  เป็นหนังโรแมนติดคอมมาดี้ นำแสดงโดย  Tim Robbin และนางเอกดังสุดน่ารัก(ขณะนั้น) Meg Ryan เป็นเรื่องของหนุ่มช่างยนต์ที่ไปหลงรักหลานสาว ของ อัลเบิร์ต ไอสไตน์  และที่สำคัญ สุดยอดอัจฉริยะของโลก ก็เป็นใจชักนำเป็นพ่อสื่อให้ เรื่องราวอาจจะดูกุ๊กกิ๊กไม่มีอะไร แต่กลับปะปนด้วยปรัชญา และสูตรทฤษฎีต่างๆที่เอามาใช้กับชีวิตจริงๆ สวนทางกับที่นักเรียนถามมามากว่า จะเรียนไปเพื่อ? แต่กลับเอามาประยุกต์ใช้อย่างมีปรัชญา เช่น  หนุ่มช่างยนต์ถามเรื่องเวลากับชีวิต กับ กลุ่มอัจฉริยะสติเฟื่องเพื่อนๆ ของ ไอส์ไตน์ ถ้ามีฝาแฝดวัย25 คนนึงเดินอยู่บนโลก กับอีกคนเดินทางไปในอวกาศ เวลา 50 ปี แลัวกลับมาพบว่าตัวเองยังอายุเท่าเดิม แต่ ฝาแฝดอีกคนและเพื่อนๆกลับกลายเป็นคนแก่หมดแล้ว ใครล่ะที่จะมีความสุขกว่ากัน

        อีกเรื่องหนึ่งที่หนังเรื่องนี้พูดถึงคือ การเรียนรู้นั้นไม่มีที่สิ้นสุด ไม่จำเป็นต้องศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำก็สามารถเข้าจะหลักการและนำไปพลิกแพลงใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ อย่างที่หนุ่มช่างยนต์แสดงให้เห็น และสุดท้ายนางเอกก็เลือกคนที่เข้าใจชีวิตปรัชญามากกว่า คู่หมั้นที่เคร่งกับหลักการทฤษฎีมากเกินไปจนดูแคลนคนอื่น

       ผมThink แว๊บหนังเรื่องนี้ขึ้นขณะเล่นคุกกี้รัน แล้วได้ยินข่าว เด็กเอามือถือแม่ เล่นเกมจนมีบิลมาเก็บเงินถึง2 แสนบาท จากความรู้เท่าไม่ถึงกาล จะโกง คริสตัลตามทีดูมาจากYoutube น่าแหละครับผลกระทบอันเป็นนิรันดร์ แล้วกระจายออกมาเป็นปัญหาเป็นข่าว   ถ้า E = MC2 ทฤษฎีสัมพันธภาพที่ อัลเบิร์ต ไอสไตน์ คิดขึ้นมาได้สั่นคลอนโลก แต่ในหนังเรื่อง I.Q. ถูกใช้เพื่อสั่นคลอนหัวใจได้อย่างน่ารัก ลองหามาดูกันนะครับ 20 ปีก่อนผมยังจำมาจนทุกวันนี้

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2557

นาย-ตัว-ต่อ: ชั้นหนังสือลอยได้ ตอน Dragonball ตอนที่ 1

นาย-ตัว-ต่อ: ชั้นหนังสือลอยได้ ตอน Dragonball ตอนที่ 1: เมื่อประมาณ10กว่าปีก่อน ทุก วันอังคาร ประมาณบ่าย3โมงนักเรียนมัธยมหลายๆคนเริ่มหายใจไม่ค่อยคล่อง ตื่นเต้นที่จะถึงเวลาเลิกเรียน วังอังคารไม...