วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2557

นาย-ตัว-ต่อ: ชั้นหนังสือลอยได้ ตอน Dragonball ตอนที่ 1

นาย-ตัว-ต่อ: ชั้นหนังสือลอยได้ ตอน Dragonball ตอนที่ 1: เมื่อประมาณ10กว่าปีก่อน ทุก วันอังคาร ประมาณบ่าย3โมงนักเรียนมัธยมหลายๆคนเริ่มหายใจไม่ค่อยคล่อง ตื่นเต้นที่จะถึงเวลาเลิกเรียน วังอังคารไม...

นาย-ตัว-ต่อ: The Truman Show : สิ่งที่อยู่ในสื่อนั้นจริง...หรือ...

นาย-ตัว-ต่อ: The Truman Show : สิ่งที่อยู่ในสื่อนั้นจริง...หรือ...:   เมื่อวาน(เสาร์ที่ 8 ก.ย. 2555 )ผมได้มีโอกาสได้ไปฟังเสวนาเรื่อง TheTruman Show ที่สถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส ในงานได้พบปะกับหลายๆคนหลาย...

นาย-ตัว-ต่อ: On The Road จุดหมายที่แท้จริง นอนอุ่นๆอยู่ข้างในตั...

นาย-ตัว-ต่อ: On The Road จุดหมายที่แท้จริง นอนอุ่นๆอยู่ข้างในตั...: สิ่งที่วัยรุ่นทำสำหรับผู้ใหญ่คือมีสาระและไรสาระแม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นอย่างหลัง แต่สิ่งที่ต้องยอมรับคือ ไม่มีใครที่เกิดมาแล้วเป็นผู้ให...

ต๊กโกวคิ้วป้าย ตอนที่3


ในยุคที่สื่อดิจิตอล ความสะดวดสบายในการหาข้อมูลข่าวสาร ทำให้คนอ่านหนังสือน้อยลง แต่เสพคอนเทนต์มากขึ้น ทำให้ผมรู้สึกดี ที่มีคนมาคุยเรื่อง หนังสือ เรื่องวรรณกรรม จริงๆแล้วผมเป็นคนที่อยู่ในรอยต่อของยุดที่เริ่มมีคอมพิวเตอร์ มีเฟสบุ๊ค หลายๆคนที่อ่าน เพจ มีไว้หนุนนอนอ่าน นี้ แล้วอยากจะเล่าอยากจะคุยอะไร มาแลกเปลี่ยนกันนะครับ ผมลงตอนสุดท้ายของ ต๊กโกวคิ้วป้ายให้อ่านกัน หวังว่าจะสนุกกับเรื่องราวนี้นะครับ

ต๊กโกวคิ้วป้าย
ตอนที่3
อย่างที่ทิ้งท้ายกันไว้ในตอนที่แล้วว่าเรื่องของต๊กโกวคิ้วป้ายที่มีคนนำมาขยายความนอกเหนือจากเรื่องที่แล้ว ยังมีอีก โดยผมไปหามาได้จากเว็ปบอร์แห่งหนึ่ง นานมาแล้ว แต่ถ้าเนื้อเรื่องออกมาจากปากของกิมย้งผู้แต่งเองจริงคงจะดี



ต๊กโกว ศิษย์หัวซานรุ่น 2 - 3 สุขภาพไม่ดีมาแต่เด็ก แต่แม้ไม่เคยสู้กับใคร ในใจก็ฝักใฝ่ในกระบี่บวกกับ พรสวรรค์ที่มีแต่กำเนิด ทำให้คิดค้นวิชากระบี่เองตั้งแต่อายุน้อยๆ เมื่อย่างเข้าสู่อายุช่วง 30 ด้วยความที่ไม่เคยประลองกับใคร จึงขอท้าประลองกับชาวยุทธ์ผู้มีฝีมือเหนือชั้นท่านหนึ่ง และด้วยความที่ต๊กโกวไม่เคยสู้กับใคร ทำให้คนที่สู้ด้วยประมาท และกระบวนที่ใช้ล้วนร้ายกาจและพิสดาร ทำให้ผู้ที่สู้ด้วยบาดเจ็บ ต๊กโกวจึงได้ทำลายกระบี่ที่ตนได้มาจากสหายรัก โดยโยนกระบี่เล่มนั้นเล่มนั้นทิ้งลงในเหวลึก


ด้วยเหตุที่ต๊กโกวรู้สึกผิดหวังจึงไม่คิดสู้กับใครอีก แต่ไม่เคยหยุดคิดค้นวรยุทธ์ และด้วยความที่ต๊กโกวเป็นคนที่มีสหายมากมาย (ต๊กโกวที่แปลว่าเดียวดาย อาจจะมีความหมายที่ต้องใช้รวมกับคำว่าคิ้วป้าย) ทำให้มีความรู้เรื่องกระบี่อย่างลึกซึ้ง และในที่สุด (เมื่ออายุเข้าช่วง 40) ก็ค้นพบเพลงกระบี่ "เก้ากระบี่ต๊กโกว" และด้วยความที่ต๊กโกวเข้าถึงแก่นลึกแห่งวัตถุ (อายุประมาณ 40) ก็สามารถเข้าใจหลักการ "กระบี่ไร้ความจำเป็น ทุกสรรพสิ่งดุจกระบี่" (เนื้องด้วยกระบี่ 4 เล่มที่ตนมีล้วนมีลักษณะที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง ซึ่งเข้ากับลักษณะวัตถุทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นหนัก-เบา อ่อน-แข็ง วิเศษ-ธรรมดา)

แต่ทว่าด้วยความไม่หยุดยั้งที่สิ่งใด กว่าจะรู้ตัวต๊กโกวก็อายุร่วม70 ถึงแม้ว่าวิทยายุทธ์ที่ตนมีจะร้ายกาจพิสดารเพียงใด ก็ยังมีร่างกายที่อ่อนแอบวกกับสุขภาพอ่อนแอเป็นอุปสรรคทำให้ไม่มีโอกาสได้สู้หรือผงาดในยุทธจักรได้ แม้อยากสู้ก็ไม่มีใครคิดสู้ด้วย (ชนะคนแก่ไม่น่าภูมิใจ หนำซ้ำอาจโดนสังคมรังเกียจ) ชั่วชีวิตที่เหลือต๊กโกวจึงได้แต่แสวงหาคู่ต่อสู้เพื่อวัดวิทยายุทธ์ที่ตนคิดค้น แต่ก็ไม่อาจสมหวัง เป็นที่น่าเศร้าและเวทนาที่มีวิชาที่ไร้เทียมทานแต่ไม่อาจหาคู่ต่อสู้ได้ ดังนั้นต๊กโกวจึงมีฉายาเต็มๆ ว่า ต๊กโกวคิ้วป้าย

และสุดท้าย เพลงกระบี่ที่คิดค้นจึงต้องถ่ายทอดให้ชนรุ่นหลัง(ฟงชิงหยางเป็นคนสุดท้ายในรุ่นที่ 4 ที่ได้รับ) และฝังกระบี่ที่ตนมีที่หุบเขาที่ตนใช้ชีวิตในช่วงสุดท้าย

ส่วนฉายากระบี่อสูรนั้นเกิดจากการที่เหล่าผู้หวังดี (ลูกหลานของสหาย) ที่กลัวว่าจะมีคนไปรังแกหรือแย่งวิชาและกระบี่ในยามที่ต๊กโกวไม่อาจทำอะไรได้อีก (แม้แต่จะยกตะเกียบ) เพื่อให้เกิดความยำเกรง (และจะได้ไม่ต้องไปปกป้องให้เหนื่อยด้วย)



ทางคุณบอยที่เล่าเรื่องราวนี้ยืนยันว่าทางท่านกิมย้งกล่าวไว้เช่นนี้ แต่พออ่านดุแล้วก้มีข้อแย้งอีกหลายอย่าง เช่น สมัยเอี้ยก้วยนั้น มีสำนักหัวซานแล้วหรือ แล้วช่วงรอยต่อของเนื้อหาของดาบมังกรหยกกับกระบี่เย้ยยุทธจักร น่าจะซักประมาณ 80ปี ตรงนี้อ้างอิงได้จาก ตอนที่อิ๋งอิ๋งตัวนางเอกของกระบี่เย้ยยุทธจักร ได้มอบดาบและคัมภีร์ของท่านเตียซำฮง (จางซานฟง) ให้แก่ชงฮี้อเต้าหยินเจ้าสำนักบู๊ตึ้งในขณะนั้น ท่านเต้าหยินอุทานขึ้มมาว่า นี่คือดาบของท่านปรมาจารย์ที่หายไปเมื่อ 80 ปีก่อน ในขณะที่เนื้อเรื่องของดาบมังกรหยก เตียบ่อกี้ตัวเอกของเรื่องตอนอายุ20ปี ซึ่งตอนนั้นท่านเตียซำฮงมีอายุครบรอบ100ปีพอดี ตามประวัติท่านเสียชีวิตประมาณอายุที่140ปี จึงทำให้เนื้อหาที่หามาขัดแย้งกัน จนผมเองแอบคิดไปว่าหรือว่าต๊กโกวคิ้วป้ายจะมีสองคน ทุกวันนี้ไม่มีใครสามารถยืนยันได้นอกจากท่านกิมย้งคนเดียวเท่านั้น



เป็นยังไงกันบ้างครับกับสามตอนที่ผ่านมากับเรื่องราวของจอมกระบี่ต๊กโกวคิ้วป้าย ตอนหน้าจะเอาเรื่องราวใดมานำเสนอก็รอติดตามชมกันนะครับ หวังว่าคงจะสนุกสนานกับเนื้อหาที่ผมเก็บเล็กผสมน้อยมาเล่าให้ฟังกัน มีข้อติชมใดก้เขียนเข้ามาคุยกันหรืออยากรู้เรื่องราวได้ถ้าไม่ยากจนเกินไปผมจะรวบรวมมาเล่าให้ฟังกัน

ต๊กโกวคิ้วป้าย ตอนที่2


ผู้อ่าน เขียนมาถามว่า เรื่องของ ตัวละครต๊กโกวคิ้วป้าย ทางผู้ประพันธ์กิมยังเคย เขียนเรื่องราวออกมาเป็นเล่มหรือเปล่า ตัวละครนี้ เป็นที่น่าจดจำและติดตามยิ่งนัก ผมขออนุญาตเอาบทความ ตอนที่2ที่เขียนถึง มาลงให้อ่านกันนะครับ 

ต๊กโกวคิ้วป้าย ตอนที่2

อย่างที่ได้กล่าวไปในตอนแรก ตัวละครผู้โดดเดี่ยวแสวงพ่าย ต๊กโกวคิ้วป้าย ได้ถูกนำมากล่าวไว้ในอมตะนิยายจีนของท่านกิมย้งถึงสองครั้ง แม้จะไม่มีรายละเอียดมากนักเกี่ยวกับความเป็นมา และท่านกิมย้งเองก็คงจะไม่นำเรื่องราวของโดดเดี่ยวแสวงพ่ายผู้นี้มาเขียนให้เราอ่าน แต่ด้วยจินตนาการของนักอ่าน และความน่าแระทับใจของจอมกระบี่ผู้นี้ จึงมีการแต่งเนื้อเรื่องขึ้นเพื่อสร้างเป็นภาพยนตร์ชุดทางทีวีของฮ่องกง โดยTVB

เนื้อเรื่องที่นำเสนอผ่านภาพยนตร์ชุดของTVBนั้น กล่าวถึงภูมิหลังของหลินคังนามเดิมจอมกระบี่ต๊กโกวคิ้วป้ายว่า เป็นลูกของต๊กโกวเทียงฟง จอมมารในอดีต หลังจากการพลัดพรากกันราวยี่สิบปี ตัวจอมกระบี่แม้จะยอมรับได้ยากกับการที่ต้องมีบิดาเป็นจอมมารแต่ก็มิอาจหลีกหนีความจริงข้อนี้ได้ และด้วยเวรกรรมเก่าของจอมมารต้องบีบคั้นให้ผู้เป็นบิดาต้องปลิดชีวิตตัวเอง ทำให้หลินคังต้องได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง และแรงกดดันจากสังคมที่กระหน่ำเข้ามา แม้ว่าเขาจะหนีเท่าไหร่ก้หนีการจองเวรไม่พ้น จึงเปลี่ยนการบีบคั้นทุกอย่างมาเป็นพลัง บัญญัติวิชาใหม่แห่งมรรควิถีบู๊ก่อให้เกิดเพลงกระบี่ที่ไร้พ่าย และบัญญัตินามตัวเองเสียใหม่ คือ ต๊กโกวคิ้วป้าย(โดดเดี่ยวแสวงพ่าย) เพื่อออกท้าทายยอดยุทธทั่วยุทธจักร แสดงเจตจำนงที่อยากจะพ่ายแพ้สักคราวเพื่อระบายความคับแค้นใจ และล้างแค้นผสมโรงไปด้วย

แม้ว่าเนื้อเรื่องที่ทางTVBนั้นทำออกมาจะสนุกสนนด้วยทีมงานมืออาชีพที่คร่ำวอดอยู่ในวงการ ภาพยนตร์ชุดกำลังภายในที่เป็นที่นิยมขณะนั้น แต่ก้ยังมีข้อติออกมาได้เหมือนกัน กล่าวคือความไม่สมจริงทางด้านเหตุและผล เช่นในเรื่องมีสำนักบู๊ตึ้ง ที่ถ้าหากเป็นคอนิยายกำลังภายใน คงจะทราบว่าสำนักบู๊ตึ้งเกิดขึ้นในปลายราชวงค์หยวนยุคที่มองโกลครอบครองประเทศจีน ซึ่งในนิยายกำลังภายในของกิมย้งเรื่องมังกรหยกภาคที่สองจอมยุทธ์อินทรีได้กล่าวถึงว่า เอี้ยก้วยตัวเอกของเรื่องไปเจอกระบี่ทั้งสี่เล่มและนกอินทรีที่เป็นสัตว์เลี้ยงของ จอมกระบี่ต๊กโกวคิ้วป้าย และได้รับการถ่ายทอดวิชาบางส่วนมาจากนกอินทรีแสนรู้นั้น สืบเนื่องมาถึงตอนเริ่มต้นของมักกรหยกตอนที่สาม ดาบมังกรหยก เตียกุนป้อศิษย์เส้าหลินได้รับการถ่ายทอดกระบวนท่าจากเอี้ยก้วยเพียงไม่กี่กระบวนถ้า ซึ่งเตียกุนป้อนี้เองที่เติบโตมาเป็นปรมาจารย์แห่งบู๊ตึ้งเตียซำฮง(จางซานฟง) ดังนั้นจึงเป้นไปไม่ได้เลยที่ ในยุคของจอมกระบี่เดียวดายนี้จะปรากฎมีสำนักบู้ตึ้งขึ้น

ข้อด้อยต่อมาของต๊กโกวคิ้วป้ายฉบับTVBคือมิได้กล่าวถึงกระบี่ทั้งสี่เล่มของจอมกระบี่ผู้โดดเดี่ยว ที่กระบี่นี้ได้แฝงนัยยะทางมรรควิชาเต๋าไว้ไม่น้อยคือ หนึ่งกระบี่อ่อนนิ่มไม่แข็งแรง ไม่คงทน เบา แต่เฉียบคม หนึ่งกระบี่แข็งแรง หนัก คงทน วิเศษแต่ไม่คม หนึ่งกระบี่ไม่คม ไม่แข็งแรง ไม่วิเศษ แต่เบา และอีกหนึ่งกระบี่นั้นแสนจะธรรมดา อีกหนึ่งเรื่องคือนกอินทรีคู่ใจนั้นก้ไม่ได้กล่าวถึงเลยแต่อย่างใด



ผมยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับจอมกระบี่เดียวดายแสวงพ่ายต๊กโกวคิ้วป้ายนี้ในอีกมุมมองหนึ่งซึ่งจะมานำเสนอในตอนต่อไป รอติดตามชมนะครับ

ต๊กโกวคิ้วป้าย ตอนที่1

ผมเขียนเรื่องนี้เมื่อปี 52เลยเอามาลงใหม่อีกที เพราะเมื่อเช้าได้จดหมาย จากผู้อ่านตอนที่เขียนลงBlog เก่า ลองอ่านดูนะครับ

ต๊กโกวคิ้วป้าย ตอนที่1
โดดเดี่ยวแสวงพ่าย คือความหมาย ของชื่อ จอมยุทธ์ที่มาโลดแล่นอยู่ในวัฐจักรนิยายจีน ที่เป็นที่หลงใหลของนักอ่าน เหล่านักอ่านชาวไทยคงเคยได้ยินนามอันกระเดื่องเลื่องลั่นนี้ไม่มากก็น้อย แม้เนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับจอมยุทธ์ผู้นี้หากนำตัวอักษรที่กล่าวถึงเขามาเรียงร้อยถ้อยคำต่อกัน ก้เกรงว่าจะไม่เกินหนึ่งหน้ากระดาษ แต่ความประทับใจนั้นอาจนำมาสร้างเนื้อหาได้มากกว่ากน้าหนังสือพิมพ์ถึงหนึ่งเล่ม หากเป็นคนตรี ผมก็อาจจะนึกถึงคนตรีแจ๊ซ ที่นำเอาเมโลดี้สั้นๆมาขยายความได้เป็นชั่วโมง

อันเรื่องราวของต๊กโกวคิ้วป้ายนี้ เกิดขึ้นในนิยายของกิมย้ง ยอดนักแต่งนิยายกำลังภายในฮ่องกง ซึ่งเรื่องของกิมย้งนั้นผมเองจะนำมาเล่าอีกคราในเวลาที่เหมาะสม เรื่องของต๊กโกวคิ้วป้ายถูกนำมาโลดแล่นเป็นตัวหนังสือถึงสองครั้งในจำนวนนิยายจีนที่กิมย้งแต่งทั้งหมด

ครั้งแรก ตอนที่เอี้ยก้วย ตัวเอกในนิยายชุดมังกรหยก ตอนที่สอง จอมยุทธ์อินทรี ได้ไปพบกับกระบี่สี่เล่ม(ซึ่งเข้ากับลักษณะวัตถุทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นหนัก-เบา อ่อน-แข็ง วิเศษ-ธรรมดา) และนกอินทรียักษ์ ซึ่งอดีตเคยเป็นสัตว์เลี้ยงของจอมกระบี่ต๊กโกวคิ้วป้ายผู้นี้

ครั้งที่สอง ตอนที่เล่งฮู้ชง ตัวละครเอกในกระบี่เย้ยยุทธจักร(เดชคัมภีร์เทวดา)ได้รับคำชี้แนะจากผู้อาวุโสแห่งสำนักหัวซาน ฟงซิงหยาง ถ่ายทอด เก้ากระบี่เดียวดายซึ่งเป็นเพลงยุทธที่คิดค้นโดย ต๊กโกวคิ้วป้าย

ยังไม่จบนะครับ รอติดตามต่อตอนต่อไปนะครับ

กระบี่ไร้เทียมทาน


            ปฎิเสธไม่ได้ว่าคน ที่มีอายุ30 อัพ น้อยคนที่จะไม่รู้จัก ฮุ้นปวยเอี๊ยง ผมถือว่าเป็นหนังกำลังภายในเรื่องแรกๆเลยที่ดู จนต้องตามมาอ่านเป็นเล่มๆ 
บทประพันธ์ของอึ้งเอ็ง นี้รังสรรค์ประดิษฐ์ประดอยแปลโดย น.นพรัตน์ ที่นักอ่านไม่เคยผิดหวังในการแปลของท่านเช่นกัน เรื่องราวของ ฮุ้นปวยเอี๊ยง เด็กหนุ่มที่เติบโตใน สำนักพรต บู้ตึ้ง ที่มีปริศนาชาติกำเนิดในตัวเอง ด้วยจิตใจมุ่งมั่นคุณธรรม ทำให้เขาเติบใหญ่เป็นวีรบุรุษและผ่านเรื่องราวมากมายมาได้ ด้วยเนื้อเรื่องที่ไม่ซับซ้อนเข้าใจง่าย มีการปนด้วยเรื่องความรัก ทำให้เนื้อเรื่องมีเสน่ห์ชวนติดตามดีนะครับ
           ผมไม่อยากจัดอันดับนิยายกำลังภายในเรื่องไหนเพราะความสนุกและคุณค่าของวรรรกรรมอยู่ที่การได้อ่านการตีความ เอาเป็นว่าก็อยู่ในนิยายกำลังภายในที่ผมชื่นชอบ แต่ถ้าเป็นในแง่ที่ทำเป็นซีรีย์ทางทีวี ผมติดเรื่องเดียวครับ ถ้าฝึกวิชาไหมฟ้าแล้วหน้าเปลี่ยน อย่าฝึกเลยครับ ใครที่ได้ดูคงจำได้นะครับ

Jerry Maguire




            เคยลุกตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วหยิบปากกา หรือพิมพ์อะไรกลางดึกหรือเปล่าครับ ผมเป็นบ่อยเพราะไม่อยากให้อะไรที่แว้บเข้ามาในหัว หายไปแบบไม่รู้จะกลับมาอีกเมื่อไหร่ เหมือนกับเรื่องนี้ ผมเคยสมัครงานที่บริษัทแห่งนึง มีคำถามในใบสมัคร ว่าภาพยนตร์เรื่องไหนที่คุณประทับใจที่สุด ผมตอบไปโดยไม่ต้องคิดครับ Jerry Maguire หนังที่เข้าฉายเมื่อปี 2539 หนังพูดถึงชายที่ลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ตนเองปรารถนา คือ แค่ทำสิ่งที่คุณรักอย่างพอดีไม่ต้องเกินตัว กับมีครอบครัวที่เข้าใจคุณก็พอ เขาพูดในสิ่งที่คิดแต่สิ่งที่จริงนั้นไม่ยอมรับ ผลคือเขาต้องพิสูจน์สิ่งที่เขาเชื่อ หนังเรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจของใครหลายๆคน รวมถึงพี่โหน่ง วงทนงค์ ผู้ก่อตั้งนิตยสารวัยรุ่น a day ประโยคที่ประทับใจ สั้นๆ You complete Me คุณเติมเต็มให้ผมสมบูรณ์....

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

โจนาทาน ลิฟวิงสตัน

               .. ร่างกายของเธอทั้งหมดจากปลายปีกหนึ่งสู่อีกปีกหนึ่งไม่ใช่อะไรอื่น 
นอกจากความคิดของเธอเอง …. จากสำนวนแปล ของอาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ โจนนาธาน ลิฟวิงสตัน นางนวล ผลงานเขียนของ ริชาร์ด บาก เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตวัยรุ่นหลายๆคน ให้ก้าวเข้าสู่ความขบถ คำว่าขบถคือความคิดต่างอย่างสร้างสรรค์ เพื่อหลุดจากกรอบที่ชาชิน คำว่าคิดต่างมีอีกคำ จากคนที่ผมนับถือ ของทีวีเสรีช่องหนึ่ง ให้คำแนะนำต่อวัยรุ่นยุคนี้ว่า คิดต่างได้ แต่ต้องคิดต่างอย่างรับผิดชอบ 




               ผมนึกถึงหนังสือเล่มนี้ได้ เมื่อสมัยร้านหนังสือดอกหญ้า เฟื่องฟู ประมาณปี2539 ก่อนฟองสบู่แตก อิสรภาพแห่งตัวหนังสือมีวางเต็มตึก ผมใช้เวลาว่างจากเรียนขลุกอยู่ที่สาขาอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อีกที่หนึ่งในความทรงจำดีๆนี้ จากวันนั้นถึงวันนี้เจ้านกนางนวลสีนวลหลายๆตัว ตอนนี้คงเติบใหญ่ นำสารแห่งขบถบอกต่อผู้เยาว์รุ่นต่อๆมา แม้ไม่ได้ยิ่งใหญ่ปานพญานกอินทรี ปีกน้อยๆนี้หลายปีกก็เพียงพอจะเคลื่อนโลกนี้ได้...

เพลงไทยคุณขอมา

                   เริ่มมีคนอ่านเข้ามาเดาอายุผม ต่างๆนานา ผมก็บอกไปตามจริง ยี่สิบกว่าๆ เพราะแต่ละเรื่องที่ลงในเพจ ล้วนแต่เป็นเรื่องราวสมัย สุดยอดคลาสสิก ยิ่งตอนที่จะเล่านี้ น่าจะบ่งบอกวัยของผมได้อย่างชัดเจน ทุกๆวันนี้หลายคนยังฟังวิทยุกันใช่มั้ยครับ สมัยที่ผมจะเล่า Youtube ยังไม่มี อินเตอร์เนต คืออะไร เด็กยุคนั้นยังไม่รู้จัก แถวๆบ้านผม ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ จะต้องหมุนมาที่คลื่น สทร.93 MHz กับเสียงดีเจคุ้นหู ทุ้มๆ มีเสียงกระดาษกรอบแกรบๆในมือ "สวัสดีครับ คุณผู้ฟังทุกท่าน ผม ศิริชัย เลิศวิริยะชัย คุณกำลังฟังรายการ เพลงไทยคุณขอมา" 

                   คุณศิริชัย หรือพี่ ศิ'ชัย ของน้องๆ ในยุคนั้น โด่งดังชนิดที่ละครหลังข่าวยุคนั้นเทียบไม่ติด เพลงที่เปิดจะโดนใจวัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็น เจมส์เรืองศักดิ์ เต๋าสมชาย บอยสเก๊าท์ เรียกได้ว่าเป็นยุคเฟื่องฟูของ RS Promotion ก็ว่าได้ จะมีสอดแทรก เจเจตริน มอสปฎิภาณ หรือบิลลี่ โอแกนมาบ้าง แต่ที่ทะลุชาร์ตมาอย่างไม่มีใครคาดหมายมาก่อนคือ ไฮดร้า ของพี่ป้าง นครินทร์ กิ่งศักดิ์และพี่ปอนด์ ธนา ลวสุต กับเพลงไว้ใจที่โด่งดัง 

                 

                  สิ่งที่ทำให้จดจำ พี่ศิ'ชัยได้ดีที่สุด คือช่วงตอบจดหมาย และขอเพลง ที่อยู่ในความทรงจำ คือ "จดหมายนี้ จากไก่ ท่าข้าม ขอเพลง ...ให้น้องฝน ร.ส.ท. เชิญรับฟังครับ เพลง ...จากไก่ท่าข้าม" ผมว่าตอนนี้คงมีใครหลายๆคนกำลังอมยิ้มนึกถึงดีเจ คนนี้ ที่เคยขับกล่อมให้วัยรุ่นของเราฝันดี รวมถึง....ไก่ท่าข้าม ด้วยนะครับ

Superman

             

                   รู้จักซุปเปอร์แมนใช่มั้ยครับ ซุปเปอร์ฮีโร่ฝั่ง DC Comic ชายที่เป็นตัวแทนชั้นกรรมมาชน ผู้มีเรี่ยวแรงมหาศาล สามารถหมุนโลกได้ทั้งใบ แถมยังเป็นที่รักของคนทุกยุคทุกสมัย(ทางฝั่ง Marvel บอกว่า SpiderManเรตติ้งดีกว่า) มีจุดอ่อนคือ คริปโตไนต์ แร่จากคริปตัน ดาวบ้านเกิดของเขา และคู่แค้นนิรันดร์กาลของเขา เล็กซ์ ลูเธอร์ อัจฉริยะ มหาวายร้ายที่ตามล้างตามผลาญมาตลอด (ใครดูสมอลวิลล์ จะเห็นได้ว่าเป็นเพื่อนกันมาก่อน) ผมจำได้ตอนเด็กๆแถวบ้านผมจะมีโรงหนังอยู่ใกล้ๆคือ บางมดรามา และหนังที่ผมได้ดูเป็นเรื่องสุดท้ายของโรงหนังนั้นคือ ซุปเปอร์แมนภาค 3 ในปี 2526 ก่อนจะถูกทุบทิ้งเพราะโดนเวนคืน เพื่อสร้างทางด่วนพระราม 2 ผมเคยเอาผ้าเช็ดตัวสีแดงผูกคอ แล้วพลาดตกจากชั้นลอยตึกแถวบ้านเก่าแถวบางมด ผลคือสลบไปสองวันเต็มๆ ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์วันนั้น คุณอาจจะไม่ได้อ่านเรื่องที่ผมเล่าแล้วก็ได้ เพราะตอนเด็กๆผมอยากเป็นหมอ....

One Fine day





           ช่วงนี้เป็นฤดูฝน เหมาะแก่การทำมิวสิควีดีโอเท่ห์ๆ เดินตากฝนให้รถมันดีดน้ำใส่ ผมเขียนตอนนี้ขณะเดินอยู่ย่านบางกะปิ ฝนบางๆพอให้เปียกนิดหน่อย ทำให้นึกถึงหนังดีๆเรื่องนึงครับ One Fine Day (1996) วันรักสะกิดหัวใจ 

            
One Fine Day เรื่องดำเนินอยู่ย่านแมนฮัตตัน ขณะที่ฝนโปรยปราย พ่อหม้ายแม่หม้าย ลูกติดทั้งคู่ มาร่วมกันแชร์ความวุ่นวายหนึ่งวันในเมืองใหญ่ ทั้งเรื่องงานการที่จำเป็นต้องมารีบเร่งในวันนั้น แถมยังไม่มีใครดูลูกให้ จนต้องยอมแบ่งเวลาที่มีกันคนละนิดเพื่อเติมเต็มให้ครอบครัวตัวเองสมบูรณ์ได้เท่าที่จะเป็น สังคมอเมริกันถูกสะท้อนมาหลายปีดีดักแล้ว ว่ามีการหย่าร้างแยกทางกันสูง ด้วยความเป็นเอกเทศและความคิดที่เป็นอิสระสูง ผมชอบหนังเรื่องนี้ที่ มีภาพสวยๆของเมืองใหญ่อีกมุมที่ไม่ได้เน้นไปที่เป็นศูนย์กลางทางทุนนิยม มีฉากในเซนทรัลพาร์ค ให้อบอุ่นใจสบายตากว่ารถติดจอแจ 
        
           ส่วนที่สำคัญของหนังเรื่องนี้คือ เพลงประกอบ ทั้ง Sometime When We Touch, For The First Time, Have I Told you Lately. กระหน่ำสร้างบรรยากาศให้อบอวน ไปด้วยกลิ่นฝัน และ เพิ่มความรู้สึกโรแมนติกของตัวละครหลักทั้งคู่ หนังฮอลลีวูดหลายๆเรื่อง มักจะพูดถึงเรื่องการล้มเหลวของสถาบันครอบครัว แต่ก็ยังแก้ปมเหล่านี้ด้วยการสร้างสิ่งเติมเต็มให้เนื้อเรื่อง หนังไทยละครไทยควรพัฒนานะครับ ไม่ใช่เอาแต่จะหาจุดขายจากความรุนแรงหรือสนองปมด้อยตัวเอง โดยไม่แก้ปมให้คนดูได้มีส่วนร่วมแก้ไข

Carpe Diem จงฉวยวันเวลาไว้

              ผมคิดถึงคุณครูท่านนึงครับ ครูของผมสอนให้ผมมีกรอบด้วยการสร้างมัน และทลายกรอบนั้นด้วยความคิดสร้างสรรค์ ครูศิลปะของผมเองครับ ผม้รียนสายศิลป์ในตอนมัธยมปลาย ศิลป์จริงๆครับ ศิลปะวาดรูป ที่ไม่มีอังกฤษหรือคณิต มาเจือปนในชื่อ และผมคิดถึงอีกคนครับ จอห์น คีทติง ครูผู้สอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนเวลตัน จากภาพยนตร์เรื่อง Dead poet Society (1989) ครูผู้สอนให้นักเรียนฉีกหนังสือเรื่อง ความเข้าใจในบทกวี ทิ้งเพราะ กวีไม่มีทางที่จะใช้หลักคณิตศาสตร์ใดๆมาประเมินค่าในการให้คะแนนได้ ครูผู้สร้างอิสระภาพทางความคิดนอกกรอบให้ แม้เรื่องจะจบลงด้วยโศกนาฎกรรม คุณครูของผมมีประโยคที่ทำให้จำจนทุกวันนี้ ว่า "การที่ครูจะสอนให้พวกเราเป็นคนไม่ได้ ไม่ใช่เพราะพวกเธอโง่หรอก เป็นเพราะครูโง่เองที่ไม่มีความสามารถพอ" นี่คือครูผู้ที่เป็นผู้ให้ตั้งแต่ความรู้รวมไปถึงจิตวิญญาณ คำที่ จับใจที่สุดของ Dead poet Society คือ "Carpe Diem จงฉวยวันเวลาไว้"


พันธุ์หมาบ้า

           ตอนวัยรุ่น เราทำอะไรกัน คำถามที่คนอายุสามสิบกว่าๆอย่างผม นึกขึ้นมา มันไม่ใช่การโหยหา ชีวิตวัยรุ่นที่สนุกสนาน แต่กำลังนึกถึงวันที่เราได้เดินผ่านมาแล้วคิดแบบนี้มากว่า

           ช่วงวัยรุ่น ผมมีหนังสือดีๆที่อ่านแล้ว รู้สึกว่าชีวิตนี้เราต้องใช้มัน และต้องให้คุ้มที่ได้มี ไม่ใช่หนังสือ How to เพื่อพัฒนาบุคลิกภาพแต่อย่างไร ผมกำลังพูดถึง หนังสือ ที่ดล่าเรื่องวัยรุ่น ที่มีทั้งสุข หรือทุกข์ มีทั้งวีรกรรมที่น่าเชิดชูหรือเป็นอุทาหรณ์



          ผมกำลังพูดถึง "พันธุ์หมาบ้า" ของคุณชาติ กอบจิตติ ผมเชื่อว่าหลายๆคนที่อ่านเพจผมคงมีอยู่ในชั้นหนังสือ(ดูจากอายุผู้เข้าชม อิอิ)

         พันธุ์หมาบ้า ถ้าตีพิมพ์ครั้งแรกในยุคนี้ อาจจะโดนโจมตี เพราะเนื้อหาเป็นวีรกรรมของกลุ่มวัยรุ่น ที่ต้องการความมีอิสรภาพในการใช้ชีวิต ทั้งความเป็นอยู่ ดนตรี เซ็กซ์ รวมไปถึงยาเสพติด ผมเชื่อว่าตัวละครอย่าง อ๊อตโต ทัย แก่ รวมไปถึงชวนชั่ว(อันนี้ผมทึกทักมาเสมอว่าคือคุณชาติตลอดมา) ก็ยังเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่เติบโตมาในยุคเดียวๆกันกับผมต่อมา

        หนังสืออย่างพันธุ์หมาบ้า ไม่ๆด้มีๆว่เพื่ออ่านเป็นอุทาหรณ์แก่ วีรกรรมสุดห่ามของวัยรุ่น แต่กระตุ้นความคิด สะกิดความฝัน คุณล่ะครับ มีหนังสือดีๆอะไร ซ่อนตัวอยู่ในชั้นหนังสือในบ้าน เอามาแบ่งกันอ่านบ้างสิครับ

The Reader

             พอดีได้ไปพูดคุยกับน้องๆที่ศึกษาในมหาวิทยาลัย เลยคุยกันไปถึงไลฟ์สไตล์การอ่านหนังสือในปัจจุบัน รู้สึกแปลกใจกับ รูปแบบของเธอ น้องคนที่พูดถึงนี้ มีวิธีหาหนังสืออ่านแบบประหยัดๆด้วยการ รับจ้างสรุปความ 

             เนื่องเพราะมีนักศึกษาจำนวนไม่น้อย(ขออนุญาตไม่บอกสถาบัน)มีรายงานที่จำเป็นต้องมีการวิเคาระห์ วิจารณ์ เธอจึงรับสรุปวิจารณ์หนังสือต่างๆให้ เพื่อให้เพื่อนพวกนั้นมีงานส่งอาจารย์ แน่นอนครับน้องก็ได้เตือนเพื่อนเหล่านี้ไป แต่ก็เด็กยุคนี้ครับ ดื้อและคิดว่าตัวเองเก่งเสมอ

             ทำให้ผมนึกถึงหนังสือที่ผมชอบเรื่องนึง The Reader ของ Bernhard Schlinkเรื่องราวของ หญิงสาวที่อ่านหนังสือไม่ออก และแลกการมีเซ็กซ์กับการอ่านวรรณกรรมชิ้นเอกของโลกให้ฟังก่อน

             ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องผิดหรือถูก แต่อยากเล่าให้ฟังว่าคุณค่าของหนังสือมันอยู่ที่การได้อ่าน ไม่ใช่ใครเล่าหรือ วิจารณ์ให้ฟัง แม้แต่คนที่ไม่รู้หนังสือยังอยากจะรู้อยากจะอ่านเลยถ้ามีโอกาส ตอนจบของ The Readerเป็นอย่างไร คนที่อ่านแล้วคงรู้ ใครยังไม่เคยอ่านลองหามาอ่านดูครับ....