วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ต๊กโกวคิ้วป้าย ตอนที่3


ในยุคที่สื่อดิจิตอล ความสะดวดสบายในการหาข้อมูลข่าวสาร ทำให้คนอ่านหนังสือน้อยลง แต่เสพคอนเทนต์มากขึ้น ทำให้ผมรู้สึกดี ที่มีคนมาคุยเรื่อง หนังสือ เรื่องวรรณกรรม จริงๆแล้วผมเป็นคนที่อยู่ในรอยต่อของยุดที่เริ่มมีคอมพิวเตอร์ มีเฟสบุ๊ค หลายๆคนที่อ่าน เพจ มีไว้หนุนนอนอ่าน นี้ แล้วอยากจะเล่าอยากจะคุยอะไร มาแลกเปลี่ยนกันนะครับ ผมลงตอนสุดท้ายของ ต๊กโกวคิ้วป้ายให้อ่านกัน หวังว่าจะสนุกกับเรื่องราวนี้นะครับ

ต๊กโกวคิ้วป้าย
ตอนที่3
อย่างที่ทิ้งท้ายกันไว้ในตอนที่แล้วว่าเรื่องของต๊กโกวคิ้วป้ายที่มีคนนำมาขยายความนอกเหนือจากเรื่องที่แล้ว ยังมีอีก โดยผมไปหามาได้จากเว็ปบอร์แห่งหนึ่ง นานมาแล้ว แต่ถ้าเนื้อเรื่องออกมาจากปากของกิมย้งผู้แต่งเองจริงคงจะดี



ต๊กโกว ศิษย์หัวซานรุ่น 2 - 3 สุขภาพไม่ดีมาแต่เด็ก แต่แม้ไม่เคยสู้กับใคร ในใจก็ฝักใฝ่ในกระบี่บวกกับ พรสวรรค์ที่มีแต่กำเนิด ทำให้คิดค้นวิชากระบี่เองตั้งแต่อายุน้อยๆ เมื่อย่างเข้าสู่อายุช่วง 30 ด้วยความที่ไม่เคยประลองกับใคร จึงขอท้าประลองกับชาวยุทธ์ผู้มีฝีมือเหนือชั้นท่านหนึ่ง และด้วยความที่ต๊กโกวไม่เคยสู้กับใคร ทำให้คนที่สู้ด้วยประมาท และกระบวนที่ใช้ล้วนร้ายกาจและพิสดาร ทำให้ผู้ที่สู้ด้วยบาดเจ็บ ต๊กโกวจึงได้ทำลายกระบี่ที่ตนได้มาจากสหายรัก โดยโยนกระบี่เล่มนั้นเล่มนั้นทิ้งลงในเหวลึก


ด้วยเหตุที่ต๊กโกวรู้สึกผิดหวังจึงไม่คิดสู้กับใครอีก แต่ไม่เคยหยุดคิดค้นวรยุทธ์ และด้วยความที่ต๊กโกวเป็นคนที่มีสหายมากมาย (ต๊กโกวที่แปลว่าเดียวดาย อาจจะมีความหมายที่ต้องใช้รวมกับคำว่าคิ้วป้าย) ทำให้มีความรู้เรื่องกระบี่อย่างลึกซึ้ง และในที่สุด (เมื่ออายุเข้าช่วง 40) ก็ค้นพบเพลงกระบี่ "เก้ากระบี่ต๊กโกว" และด้วยความที่ต๊กโกวเข้าถึงแก่นลึกแห่งวัตถุ (อายุประมาณ 40) ก็สามารถเข้าใจหลักการ "กระบี่ไร้ความจำเป็น ทุกสรรพสิ่งดุจกระบี่" (เนื้องด้วยกระบี่ 4 เล่มที่ตนมีล้วนมีลักษณะที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง ซึ่งเข้ากับลักษณะวัตถุทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นหนัก-เบา อ่อน-แข็ง วิเศษ-ธรรมดา)

แต่ทว่าด้วยความไม่หยุดยั้งที่สิ่งใด กว่าจะรู้ตัวต๊กโกวก็อายุร่วม70 ถึงแม้ว่าวิทยายุทธ์ที่ตนมีจะร้ายกาจพิสดารเพียงใด ก็ยังมีร่างกายที่อ่อนแอบวกกับสุขภาพอ่อนแอเป็นอุปสรรคทำให้ไม่มีโอกาสได้สู้หรือผงาดในยุทธจักรได้ แม้อยากสู้ก็ไม่มีใครคิดสู้ด้วย (ชนะคนแก่ไม่น่าภูมิใจ หนำซ้ำอาจโดนสังคมรังเกียจ) ชั่วชีวิตที่เหลือต๊กโกวจึงได้แต่แสวงหาคู่ต่อสู้เพื่อวัดวิทยายุทธ์ที่ตนคิดค้น แต่ก็ไม่อาจสมหวัง เป็นที่น่าเศร้าและเวทนาที่มีวิชาที่ไร้เทียมทานแต่ไม่อาจหาคู่ต่อสู้ได้ ดังนั้นต๊กโกวจึงมีฉายาเต็มๆ ว่า ต๊กโกวคิ้วป้าย

และสุดท้าย เพลงกระบี่ที่คิดค้นจึงต้องถ่ายทอดให้ชนรุ่นหลัง(ฟงชิงหยางเป็นคนสุดท้ายในรุ่นที่ 4 ที่ได้รับ) และฝังกระบี่ที่ตนมีที่หุบเขาที่ตนใช้ชีวิตในช่วงสุดท้าย

ส่วนฉายากระบี่อสูรนั้นเกิดจากการที่เหล่าผู้หวังดี (ลูกหลานของสหาย) ที่กลัวว่าจะมีคนไปรังแกหรือแย่งวิชาและกระบี่ในยามที่ต๊กโกวไม่อาจทำอะไรได้อีก (แม้แต่จะยกตะเกียบ) เพื่อให้เกิดความยำเกรง (และจะได้ไม่ต้องไปปกป้องให้เหนื่อยด้วย)



ทางคุณบอยที่เล่าเรื่องราวนี้ยืนยันว่าทางท่านกิมย้งกล่าวไว้เช่นนี้ แต่พออ่านดุแล้วก้มีข้อแย้งอีกหลายอย่าง เช่น สมัยเอี้ยก้วยนั้น มีสำนักหัวซานแล้วหรือ แล้วช่วงรอยต่อของเนื้อหาของดาบมังกรหยกกับกระบี่เย้ยยุทธจักร น่าจะซักประมาณ 80ปี ตรงนี้อ้างอิงได้จาก ตอนที่อิ๋งอิ๋งตัวนางเอกของกระบี่เย้ยยุทธจักร ได้มอบดาบและคัมภีร์ของท่านเตียซำฮง (จางซานฟง) ให้แก่ชงฮี้อเต้าหยินเจ้าสำนักบู๊ตึ้งในขณะนั้น ท่านเต้าหยินอุทานขึ้มมาว่า นี่คือดาบของท่านปรมาจารย์ที่หายไปเมื่อ 80 ปีก่อน ในขณะที่เนื้อเรื่องของดาบมังกรหยก เตียบ่อกี้ตัวเอกของเรื่องตอนอายุ20ปี ซึ่งตอนนั้นท่านเตียซำฮงมีอายุครบรอบ100ปีพอดี ตามประวัติท่านเสียชีวิตประมาณอายุที่140ปี จึงทำให้เนื้อหาที่หามาขัดแย้งกัน จนผมเองแอบคิดไปว่าหรือว่าต๊กโกวคิ้วป้ายจะมีสองคน ทุกวันนี้ไม่มีใครสามารถยืนยันได้นอกจากท่านกิมย้งคนเดียวเท่านั้น



เป็นยังไงกันบ้างครับกับสามตอนที่ผ่านมากับเรื่องราวของจอมกระบี่ต๊กโกวคิ้วป้าย ตอนหน้าจะเอาเรื่องราวใดมานำเสนอก็รอติดตามชมกันนะครับ หวังว่าคงจะสนุกสนานกับเนื้อหาที่ผมเก็บเล็กผสมน้อยมาเล่าให้ฟังกัน มีข้อติชมใดก้เขียนเข้ามาคุยกันหรืออยากรู้เรื่องราวได้ถ้าไม่ยากจนเกินไปผมจะรวบรวมมาเล่าให้ฟังกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น